ปฐมกษัตริย์ฝูซี กำหนดลายลักษณ์และตรีลักษณ์ขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ รอบตัว ทั้งจากจากการเปลี่ยนแปลงของคืนและวัน การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่ การเกิดและดับของสิ่งต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจากแนวคิดพื้นฐานนี้ ทำให้คนโบราณได้เข้าใจถึงวัฏจักรแห่งการเปลี่ยนแปลง และนำปรัชญานี้ไปใช้ในการทำความเข้าใจธรรมชาติ จนกลายเป็นศาสตร์วิชาต่างๆ มากมาย
อี้จิง หรือคัมภีร์โจวอี้ หรือคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง คือคัมภีร์ที่อธิบายปรัชญาของการเปลี่ยนแปลงตามที่ปฐมกษัตริย์ฝูซีได้ถ่ายทอดไว้ มันคือคัมภีร์ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งการเปลี่ยนแปลงระหว่างตรีลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงระหว่างฉักลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงระหว่างลายลักษณ์ และแสดงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ระหว่างกันอย่างไม่รู้จบสิ้น ดังนั้น ปรัชญาหลักของคัมภีร์นี้ คืออนิจจังหรือความไม่เที่ยง นั่นคือทุกสิ่งล้วนแต่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราจะสามารถเข้าใจสัจธรรมอันยิ่งใหญ่นี้ จนนำปัญญาไปสู่ความรู้แจ้งได้อย่างไร หรือเราจะสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร นี่ก็คือปรัชญาของคัมภีร์นี้
ปรัชญาแห่งอี้จิง บอกเราว่าการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งนั้นเกิดจากพลังงานสองขั้วที่ต่างกัน คือยินและหยาง นั่นหมายความว่าสิ่งต่างๆเมื่อดำเนินไปถึงขั้วหนึ่ง จะต้องเปลี่ยนไปสู่อีกขั้วเสมอ กลายเป็นวัฏจักรของการ เกิด รุ่งเรือง เสื่อม และดับ ซึ่งวัฏจักรเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกแสดงออกผ่านทางฉักลักษณ์และลายลักษณ์ต่างๆ ในอี้จิง โดยฉักลักษณ์เป็นตัวบอกสถานการณ์ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่วนลายลักษณ์นั้นเปรียบเหมือนสัญญาณเล็กๆ ที่แสดงให้เราเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้นๆ การรู้เท่าทันสถานการณ์และสัญญาณเล็กๆ เหล่านี้ คือหนทางแห่งการรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงทั้งปวง
การรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ย่อมนำไปสู่การดำเนินไปข้างหน้าอย่างเหมาะสม และสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ได้ โดยในอี้จิงกล่าวถึงวิธีในการดำเนินไปข้างหน้าอย่างถูกต้องไว้อย่างเรียบง่าย ด้วยคำสองคำ โดยคำแรกคือ “กาล” หรือ “กาละ”「时」และคำที่สองคือ “กลาง”「中」
กาลหรือกาละ หมายถึงเวลา การเปลี่ยนแปลงของทุกสรรพสิ่งนั้น ขึ้นตรงกับกระแสของเวลาที่เดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีใครหยุดยั้งกระแสแห่งเวลา แต่หากเราสามารถรู้เท่าทันถึงความเหมาะสมของจังหวะเวลาในการกระทำการใดๆ โดยไม่ขัดขืนต่อการเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นตรงต่อเวลานั้นๆ เราย่อมสามารถกระทำการได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นการรู้เท่าทันเวลาว่า เวลาไหนควรกระทำสิ่งใด ย่อมเท่ากับเป็นการรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
กลาง หมายถึงการตั้งอยู่ในความสมดุลระหว่างยินและหยาง หรือทางสายกลาง แม้ว่าเราจะสามารถรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่หากการกระทำการใดๆ นั้นขาดซึ่งความถูกต้องเหมาะสม คือละจากทางสายกลาง ความผิดพลาดจากความสุดโต่งก็ย่อมเกิดขึ้นได้ ซึ่งอี้จิงสอนเราให้หลีกเลี่ยงความสุดโต่งนี้ และแนะนำให้รู้จักทั้งการก้าวไปข้างหน้า และหยุดยั้งเมื่อควรหยุด คือไม่เพียงแต่กระทำการตามทางสายกลางเท่านั้น แต่ยังควรมีปัญญาพิจารณาว่า เมื่อไหร่ควรก้าวไปข้างหน้าเพื่อกระทำการ และเมื่อไหร่ควรหยุดเมื่อสิ่งนั้นดำเนินไปถึงจุดที่เหมาะสม
ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ปรัชญาแห่งอี้จิงสอนให้เราเข้าใจการและรับมือกับมันอย่างถูกต้องได้ โดยอี้จิงสอนเราให้รู้จักระวังภัยเมื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูง และรู้จักมองหาโอกาสในยามที่ตกต่ำ รู้จักกระทำการให้เหมาะสมกับจังหวะเวลาและสถานการณ์ ปราชญ์ที่เข้าใจปรัชญานี้ย่อมนำไปสู่ความรู้แจ้ง ผู้นำที่เข้าใจปรัชญานี้ย่อมนำไปสู่การปกครองอันยั่งยืน และผู้ที่เข้าใจปรัชญานี้เมื่อกระทำสิ่งใด ก็ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาด และพบกับความสำเร็จได้ในที่สุด